รอบคัดเลือกตัวแทนของเอฟ ในเกมสุดท้ายระหว่าง ทีมชาติฝรั่งเศส พบกับ ทีมชาติโปรตุเกส และทัพตราไก่ที่เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบกว่าเพราะยังเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ในขณะที่ทัพฝอยทองที่อยู่อันดับ 3 ยังต้องการได้แต้มเพื่อการันตีการเข้ารอบต่อไป
โปรตุเกสในเกมนี้มีการเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นมาใช้ระบ 4-3-3 และได้ถอดเอา บรูโน่ เฟอร์นานเดส(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) นั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน ส่วนหน้า 3 คนก็เป็นแบร์นาร์โด้ ซิลวา , ดิโอโก้ โชต้า และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เรียกได้ว่าจัดเต็มในเกมรุกเพื่อหวังจะเอาแต้มกลับไปให้ได้
ส่วนทางด้านฝรั่งเศสเปลี่ยนมาเล่นแผนหน้าเป้าตัวเดียว 4-2-3-1 โดยใช้คาริม เบนเซม่า ขึ้นไปเป็นศูนย์หน้าโดดๆ คนเดียว และใช้อ็องตวน กรีซมันน์ คอยประคองและลงมาเอาบอลจากแดนกลาง ทางด้านริมเส้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่อยู่ฝั่งซ้ายเพื่อเลี้ยงจี้เข้าไปหาหน้ากรอบเขตโทษเพื่อหวังสร้างความปั่นป่วนให้กับแผงรับของโปรตุเกส
ผ่านมาครึ่งชั่วโมง จนในนาทีที่ 31 เป็นทางด้านโปรตุเกสที่ได้จุดโทษจากจังหวะที่ผู้รักษาปรตูของฝรั่งเศส อูโก้ ญอริส กระโดพุ่งออกมาเพื่อชกบอล แต่ดานิโล่ เปเรยร่า เป็นคนที่กระโดดโหม่งถึงบอลก่อน ก่อนที่จะเป็น โรนัลโด้ ที่เป็นตัวสังหารไปแบบไม่พลาด ขึ้นนำก่อน 1-0
ก่อนที่จะหมดเวลาของครึ่งแรกในช่วงทดเวลาบาทเจ็บ นาทีที่ 45+2 ฝรั่งเศสมาได้จุดโทษคืนเช่นกัน เป็นจังหวะที่ เอ็มบัปเป้ ถูกดันจากข้างหลังแล้วล้มกลิ้งลงไป และผู้ตัดสินต้องไปดู VAR อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจแต่ก็ตัดสินให้เป็นลูกจุดโทษ และเป็นทางด้าน เบเซม่า ที่รับบทสังหารในครั้งนี้ยิงเข้าไปไม่พลาดตีเสมอ 1-1
ต้นขึ้นหลังนาทที่ 47 คาริม เบนเซม่า อีกแล้ว เป็นการจ่ายผ่านของ ป็อกบา เข้ามาในกรอบเขตโทษยิงตามน้ำเสียบมุมเข้าไปอย่างสวยงาม พลิกขึ้นนำไป 2-1 สมกับการกลับมาติดทีมชาติในรอบ 6 ปีจริงๆ
นาทีที่ 60 โด้เลี้ยงมาเองในกรอบเขตโทษแล้วจะโยนเข้าไปให้เพื่อนที่รออยู่ แต่บอลดันไปติดมือของ คุนเด้ เรียกจุดโทษได้สำเร็จ และก็เป็นคนเดิม “ซีอาร์เซเว่น” ที่ยิงเข้าไปมุมเดิม ตีเสมอ 2-2 แถมยังขึ้นนำเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนท์นี้โดยการยิงไปแล้ว 5 ลูก
จบเกมฝรั่งเศสเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มไปเจอสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนโปรตุเกสเข้ารอบเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดไปเจอเบลเยียม ส่วนอันดับที่ 2 ของกลุ่มเป็นทางด้านเยอรมัน ที่เสมอกับฮังการีไป 2-2 เข้าไปเจอกับอังกฤษ